เมนู

มายืนอยู่บนอากาศในท้องพระลานหลวง แสดงขบวนฟ้อนที่เรียกว่า อุปัฑฒังคะ.
มือข้างเดียวเท่านั้น เท้าก็ข้างเดียว ตาก็ข้างเดียว แม้คิ้วก็ข้างเดียว ฟ้อนไป
ร่ายรำไป เคลื่อนไหวไป ที่เหลือคงนิ่งไม่หวั่นไหวเลย. พระเจ้ามหาปนาทะ
ทอดพระเนตรเห็นการนั้นแล้ว ทรงพระสรวลหน่อยหนึ่ง. แต่มหาชนเมื่อ
หัวเราะ ก็สุดที่จะกลั้นความขบขันไว้ สุดที่จะดำรงสติไว้ได้ ปล่อยอวัยวะ
หมดเลย ล้มกลิ้งไปในท้องพระลานหลวง. มงคลเป็นอันเลิกได้ตอนนั้น
ข้อความที่เหลือในเรื่องนี้ พรรณนาไว้ในมหาปนาทชาดกที่มีคำว่า ปนาโท
นาเมโส ราชา ยสฺส ยูโป สุวณฺณมโย
เป็นต้น.
พระราชามหาปนาททรงกระทำบุญถวายทานเป็นต้น เมื่อสิ้นพระชนม์
ก็เสด็จไปสู่เทวโลกนั่นเอง.
พระศาสดาทรงนำธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
มหาปนาท ในครั้งนั้นได้มาเป็นภัททชิ สุเมธาเทวีได้มาเป็นวิสาขา
วิสสุกรรม
ได้มาเป็นอานนท์ ส่วนท้าวสักกะได้มาเป็นเราตถาคตแล.
จบอรรถกถาสุรุจิชาดก

7. ปัญจุโปสถิกชาดก



ว่าด้วยรักษาอุโบสถด้วยความคิดต่าง ๆ กัน


[1951] ดูก่อนนกพิราบ เพราะเหตุไร บัดนี้
เจ้าจึงมีความขวนขวายน้อย ไม่ต้องการอาหาร อดกลั้น
ความหิวกระหายมารักษาอุโบส.

[1952] แต่ก่อนนี้ข้าพเจ้าบินไปกับนางนก-
พิราบ เราทั้ง 2 ชื่นชมยินดีกันอยู่ในป่าประเทศนั้น
ทันใดนั้น เหยี่ยวได้โฉบเอานางนกพิราบไปเสีย
ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะพลัดพรากจากนางไป แต่จำ
ต้องพลัดพรากจากนาง เพราะพลัดพรากจากนาง
ข้าพเจ้าได้เสวยเวทนาทางใจ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
จึงรักษาอุโบสถ ด้วยคิดว่า ความรักอย่าได้กลับมาหา
เราอีกเลย.

[1953] ดูก่อนงูผู้ไปไม่ตรง เลื้อยไปด้วยอกมี
ลิ้น 2 ลิ้น เจ้ามีเขี้ยวเป็นอาวุธ มีพิษร้ายแรง เพราะเหตุ
ไร เจ้าจึงอดกลั้นความหิวกระหายมารักษาอุโบสถ.

[1954] โคของนายอำเภอ กำลังเปลี่ยว มี
หนอกกระเพื่อม มีลักษณะงาม มีกำลัง มันได้เหยียบ
ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าโกรธจึงได้กัดมัน มันก็ถูกทุกขเวทนา
ครอบงำ ถึงความตาย ณ ที่นั้นเอง ลำดับนั้น ชน
ทั้งหลายก็พากันออกมาจากบ้าน ร้องไห้คร่ำครวญ
หาได้พากันหลบหลีกไปไม่ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
จึงรักษาอุโบสถ ด้วยคิดว่า ความโกรธอย่าได้มาถึง
เราอีกเลย.

[1955] ดูก่อนสุนัขจิ้งจอก เนื้อของคนที่ตาย
แล้ว มีอยู่ในป่าช้าเป็นอันมาก อาหารชนิดนี้เป็นที่
พอใจของเจ้า เพราะเหตุไร เจ้าจึงอดกลั้นความหิว
กระหายมารักษาอุโบสถ.

[1956] ข้าพเจ้าได้เข้าไปสู่ท้องช้างตัวใหญ่
ยินดีในซากศพ ติดใจในเนื้อช้าง ลมร้อนและแสงเเดด
อันกล้าได้แผดเผาทวารหนักของช้างนั้นให้แห้ง ข้าแต่
ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งผอมทั้งเหลือง ไม่มีทางจะ
ออกได้ ต่อมา มีฝนห่าใหญ่ตกลงมาโดยพลัน ชะ
ทวารหนักของช้างตัวนั้นให้เปียกชุ่ม ดูก่อนท่านผู้เจริญ
ทีนั้น ข้าพเจ้าจึงออกมาได้ ดังดวงจันทร์พ้นจากปาก
แห่งราหูฉะนั้น เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงรักษาอุโบสถ
ด้วยคิดว่า ความโลภอย่ามาถึงเราอีกเลย.

[1957] ดูก่อนหมี แต่ก่อนนี้ เจ้าขย้ำกินตัว
ปลวกในจอมปลวก เพราะเหตุไร เจ้าจึงอดกลั้น
ความหิวกระหายมารักษาอุโบสถเล่า.

[1958] ข้าพเจ้าดูหมิ่นถิ่นที่เคยอยู่ของตน ได้
ไปยังปัจจันตคามแคว้นมลรัฐ เพราะความเป็นผู้อยาก
มากเกินไป ครั้งนั้นชนทั้งหลายก็พากันออกจากบ้าน
รุมตีข้าพเจ้าด้วยคันธนู ข้าพเจ้าศีรษะแตกเลือดอาบ
ได้กลับมาสู่ถิ่นที่เคยอยู่อาศัยของตน เพราะเหตุนั้น
ข้าพเจ้าจึงรักษาอุโบสถ ด้วยคิดว่า ความอยากมาก
เกินไปอย่าได้มาถึงเราอีกเลย.

[1959] ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้อความอันใด ท่าน
ก็ได้ถามพวกข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าทั้งหมดก็ได้พยากรณ์
ข้อความอันนั้นตามที่ได้รู้เห็นมา ข้าแต่ท่านผู้เป็น

วงศ์พรหมผู้เจริญ พวกข้าพเจ้าจะขอถามท่านบ้างละ
เพราะเหตุไร ท่านจึงรักษาอุโบสถเล่า.

[1960] พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่ง ผู้ไม่แปด-
เปื้อนด้วยกิเลส นั่งอยู่ในอาศรมของฉันครู่หนึ่ง ท่าน
ได้บอกให้ฉันทราบถึงที่ไปที่มา นามโคตรและจรณะ
ทุกอย่าง ถึงอย่างนั้น ฉันก็มิได้กราบไหว้เท้าทั้ง 2
ของท่าน อนึ่ง ฉันก็มิได้ถามถึงนามและโคตรของ
ท่านเลย เพราะเหตุนั้น ฉันจึงรักษาอุโบสถ ด้วยคิดว่า
มานะอย่าได้มาถึงฉันอีกเลย.

จบปัญจุโปสถิกชาดกที่ 7

อรรถกถาปัญจอุโปสถชาดก


พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงพระปรารภ
อุบาสก 500 ผู้รักษาอุโบสถ ตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า อปฺโปสฺสุโกทานิ
ตุวํ กโปต
ดังนี้.
มีเรื่องย่อว่า ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งเหนือพระพุทธ-
อาสน์อันอลงกต ท่ามกลางบริษัทสี่ ในธรรมสภา ทอดพระเนตรดูบริษัท
ด้วยพระหฤทัยอันอ่อนโยน ทรงทราบว่า วันนี้เทศนาจักตั้งเรื่องขึ้น เพราะ
อาศัยถ้อยคำแห่งพวกอุบาสกเป็นแท้ จึงตรัสเรียกพวกอุบาสกมา ตรัสถามว่า
ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย พวกเธอพากันบำเพ็ญวัตรแห่งผู้รักษาอุโบสถหรือ
ครั้นอุบาสกเหล่านั้น กราบทูลว่าพระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตรัสว่า
พวกเธอกระทำดีแล้ว อันอุโบสถนี้เป็นเชื้อสายแห่งหมู่บัณฑิตแต่ครั้งก่อน
ที่จริงบัณฑิตแต่ครั้งก่อนพากันอยู่จำอุโบสถเพื่อข่มกิเลสมีราคะเป็นต้น อุบาสก
เหล่านั้นพากันกราบทูลอาราธนา ทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ได้มีประเทศอันเป็นดงน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก อยู่ระหว่าง
พรมแดนแห่งแคว้นทั้งสาม มีเเคว้นมคธเป็นต้น. พระโพธิสัตว์บังเกิดใน
สกุลพราหมณ์มหาศาลในแคว้นมคธ เจริญวัยแล้ว ละกามทั้งหลาย ปลีกตน
เข้าไปสู่ดงนั้น สร้างอาศรมบทบวชเป็นฤาษี พำนักอาศัยอยู่. ก็ในที่ไม่ไกล
อาศรมของท่าน นกพิราบกับภรรยาอาศัยอยู่ที่เชิงแห่งหนึ่ง งูอาศัยที่จอมปลวก
จอมหนึ่ง ที่ละเมาะป่าแห่งหนึ่งหมาจิ้งจอกอาศัยอยู่ ที่ละเมาะป่าอีกแห่งหนึ่งเล่า
หมีอาศัยอยู่. ทั้งสี่สัตว์เหล่านั้น ต่างก็เข้าไปหาพระฤาษี ฟังธรรม ตามกาล
อันเป็นโอกาส. อยู่มาวันหนึ่ง นกพิราบกับภรรยาออกจากรังไปหากิน. เหยี่ยว